บ้านเย็นอยู่สบาย กับงานออกแบบ
บ้านเย็นอยู่สบาย รีโนเวทบ้าน มีบ้านแล้วรู้สึกอึดอัดลมไม่ถ่ายเท รู้สึกไม่โปร่ง นั่นไม่ไช่คำตอบของสภาพการเป็นอยู่ที่ดี การออกแบบรีโนเวทบ้านนั้นต้องเย็นสบาย
บ้านเป็นที่อยู่อาศัยที่พวกเราต้องอยู่กันทุกคน การที่ท่านกลับจากที่ทำงานเหนื่อยๆ หรือวันพักผ่อนที่ต้องการอยู่กับครอบครัว “บ้าน” จึงเป็นที่ที่จะทำให้เรานั้นได้พักผ่อนเพื่อเติมพลังงานไว้ออกไปต่อสู่กับงานได้ในวันต่อๆไป การที่บ้านที่เราอยู่ อึดอัดไปด้วยสิ่งของที่วางไม่เป็นระเบียบ บังทิศทางลม รวมถึงตัวบ้านไม่มีการออกแบบที่ช่วยให้มีการหมุนเวียนอากาศที่ดีพอนั้น ลมจะไม่ผ่านเข้ามาเลย ทำให้ร้อน อยู่แล้วไม่สบาย การพักผ่อนในวันหยุดหรือหลังเลิกงาน จะทำให้เรายังรู้สึกอ่อนล้าอยู่
ท่านคงเคยไปเที่ยวตามต่างจังหวัดและพักตามโรงแรมดีๆ ท่านจะรู้สึกสบายใจ มีความสุข และรู้สึกว่าเป็นวันพักผ่อนที่ดี นั่นก็เพราะบรรยากาศที่ดีของโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้นมีความโล่ง โปร่ง สวยงาม สิ่งเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อระบบประสาทการรับรู้ เมื่อร่างกายของเราได้รับสิ่งที่ดีเข้าไป จึงส่งผลให้สภาพจิตใจของเราดีขึ้นไปด้วยนั่นเอง
การออกแบบบ้านโดยคำนึงถึงทิศทางลมและแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้บ้านเย็นสบายและมีความเป็นอยู่ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีอากาศร้อนชื้นอย่างประเทศไทย นี่คือหลักการที่ควรใส่ใจ
1. ทิศทางลม
– การออกแบบบ้านให้รับลมธรรมชาติ ช่วยเพิ่มการระบายอากาศในบ้าน ซึ่งช่วยลดอุณหภูมิภายในได้
– ทิศทางลมที่สำคัญ คือลมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นทิศทางลมหลักในประเทศไทย
– การจัดวางหน้าต่าง ควรให้สอดคล้องกับทิศทางลม การติดตั้งหน้าต่างในตำแหน่งที่ลมพัดเข้ามาได้ดีและมีช่องระบายลมออกจะทำให้เกิดการไหลเวียนของอากาศภายในบ้าน
2. แสงแดดตกกระทบ
– แสงแดดมีบทบาทในการทำให้บ้านร้อนหรือเย็น ควรจะคำนึงถึง ทิศทางของแดด
1 ทิศตะวันตก เป็นทิศที่แดดร้อนจัดในช่วงบ่าย การหลีกเลี่ยงการวางห้องสำคัญเช่น ห้องนอนหรือห้องนั่งเล่นทางทิศนี้ หรือการติดตั้งบังแดด กันสาด ช่วยป้องกันไม่ให้แสงแดดเข้ามาในปริมาณมาก
2 ทิศตะวันออก จะได้รับแดดอ่อนในตอนเช้า ซึ่งเหมาะสำหรับการวางห้องนอนหรือห้องที่ต้องการแสงอ่อนในช่วงเช้า
– การออกแบบที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันไม่ให้แสงแดดตกกระทบพื้นที่ภายในมากเกินไป ทำให้บ้านเย็นขึ้น
3. การไหลเวียนของอากาศ
– การมี พื้นที่เปิดโล่ง เช่น การออกแบบห้องให้มีเพดานสูง ช่องหน้าต่างขนาดใหญ่ หรือพื้นที่ว่างระหว่างห้อง จะช่วยให้อากาศไหลเวียนดีขึ้น
– หน้าต่างบานเลื่อนหรือบานเปิดกว้าง ช่วยให้อากาศไหลเวียนเข้าออกได้อย่างอิสระมากขึ้น ส่งผลให้ภายในบ้านไม่ร้อน
4. วัสดุก่อสร้างที่เหมาะสม
– การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน เช่น สีทาบ้านสะท้อนความร้อน การใช้ฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา และการติดตั้งกระจกกรองแสง จะช่วยลดความร้อนที่เข้ามาในบ้าน
– วัสดุเหล่านี้ช่วยลดการสะสมความร้อนในโครงสร้างของบ้าน ทำให้บ้านเย็นขึ้นในระยะยาว
5. การใช้ต้นไม้และพื้นที่สีเขียว
– การปลูกต้นไม้ในทิศที่แสงแดดส่องเข้ามามาก เช่น ทิศตะวันตก จะช่วยบังแสงแดดและทำให้พื้นที่รอบบ้านเย็นลง
– ต้นไม้ยังช่วยสร้างร่มเงาและเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับอากาศ ทำให้บ้านมีอากาศเย็นขึ้นอย่างธรรมชาติ
การออกแบบบ้านโดยใช้หลักการเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้บ้านเย็นขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศและทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสบายขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างดีเลยทีเดียว
ทิศทางแสงแดด
ทิศทางแสงแดดในแต่ละฤดูกาลจะมีการเปลี่ยนแปลงตามการโคจรของโลกและการเอียงของแกนโลก ซึ่งทำให้ตำแหน่งของดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลาของปี โดยเฉพาะในประเทศที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรอย่างประเทศไทย การเข้าใจทิศทางแสงแดดตามฤดูกาลจะช่วยในการออกแบบบ้านให้เหมาะสมมากขึ้น ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้
1. ฤดูร้อน (ประมาณเดือนมีนาคม – พฤษภาคม)
– ในช่วงฤดูร้อน ดวงอาทิตย์จะอยู่ใกล้ แนวตั้งฉาก กับพื้นดินมากที่สุด โดยเฉพาะช่วงเที่ยง แสงแดดจึงแรงและส่องตรงจากทิศ ใต้ ไปยังทิศ เหนือ
– ช่วงเช้า ดวงอาทิตย์ขึ้นทาง ทิศตะวันออก และจะส่องแสงไปทางทิศเหนือมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใกล้เที่ยง หลังจากนั้นจะเคลื่อนลงไปทาง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
– แสงแดดตอนบ่ายจะร้อนแรงและส่องตรงเข้าทาง ทิศตะวันตก ดังนั้นการป้องกันบ้านจากแสงแดดที่ตกกระทบทางทิศตะวันตกในฤดูร้อนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
2. ฤดูฝน (ประมาณเดือนพฤษภาคม – ตุลาคม)
– ช่วงฤดูฝน ดวงอาทิตย์ยังคงส่องแสงจาก ทิศใต้ ไปยัง ทิศเหนือ แต่จะไม่ตรงกับแนวตั้งฉากเหมือนในฤดูร้อน
– ทิศทางแสงแดดในช่วงเช้าจะยังคงขึ้นทาง ทิศตะวันออก และเคลื่อนไปทาง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่การปกคลุมของเมฆในฤดูฝนมักทำให้แสงแดดไม่รุนแรงมากนัก
– การป้องกันแสงแดดในฤดูนี้จะน้อยกว่าฤดูร้อน แต่ยังคงควรคำนึงถึงการระบายอากาศในบ้านเนื่องจากอากาศที่ชื้น
3. ฤดูหนาว (ประมาณเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์)
– ในช่วงฤดูหนาว ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนลงไปทาง ทิศใต้ มากขึ้น ทำให้ทิศทางแสงแดดส่องเข้าบ้านจาก ทิศใต้ ตลอดทั้งวัน
– ดวงอาทิตย์ขึ้นจาก ทิศตะวันออกเฉียงใต้ และเคลื่อนไปทาง ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้ช่วงเช้าและบ่ายแสงแดดมักส่องทางทิศใต้มากที่สุด
– ในฤดูหนาว แสงแดดอ่อนกว่าและให้ความอบอุ่น ทำให้การออกแบบบ้านในทิศทางที่รับแสงแดดทางทิศใต้เป็นประโยชน์ในฤดูนี้ เพื่อให้บ้านอุ่นขึ้น
สรุปการวางแผนตามทิศทางแสงแดด
– ทิศตะวันออก เหมาะกับห้องนอนหรือห้องที่ต้องการแสงแดดอ่อนในตอนเช้า
– ทิศตะวันตก แสงแดดในช่วงบ่ายรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการวางห้องที่ใช้บ่อยหรือเพิ่มการบังแดด เช่น ต้นไม้ กันสาด
– ทิศใต้ รับแสงแดดในช่วงฤดูหนาว เหมาะกับห้องที่ต้องการความอบอุ่นในฤดูหนาว
– ทิศเหนือ เป็นทิศที่รับแสงแดดน้อยที่สุด เหมาะกับห้องที่ต้องการหลีกเลี่ยงแสงแดดรุนแรง
การออกแบบบ้านให้เหมาะสมกับทิศทางแสงแดดในแต่ละฤดูกาล จะช่วยให้บ้านเย็นในช่วงฤดูร้อนและอบอุ่นในฤดูหนาว ทำให้สภาพแวดล้อมในบ้านสบายมากขึ้นและประหยัดพลังงานในการใช้เครื่องปรับอากาศหรือฮีตเตอร์
แล้วการรีโนเวทบ้านนั้นต้องมีการออกแบบและมีข้อที่ต้องคำนึงถึงอะไรบ้างให้บ้านเย็นอยู่สบายก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจหลักการเบื้องต้นก่อน
นั่นคือเรื่องของ “อากาศร้อนและกระแสลม” (ทิศทางแสงแดดและกระแสลมดูบทความได้ที่นี่ คลิก)
อากาศร้อนและการเกิดลม โดยจะอธิบายให้ได้เข้าใจง่ายๆ ให้ท่านทราบไว้ว่า
1.ความร้อนจะลอยตัวสูงขึ้น เราจึงเรียกว่า ความกดอากาศต่ำ(เบาบาง) เพราะมีมวลอากาศที่น้อยเบาบางจากความร้อนทำให้มวลอากาศมีน้ำหนักเบาจึงลอยตัวสูงขึ้น
2.ความเย็นจะลอยต่ำลง เราจึงเรียกว่า ความกดอากาศสูง(หนาแน่น) เนื่องจากมวลอากาศหนาแน่นมีน้ำหนักมากจากความชื้นของไอน้ำจึงลดตัวต่ำลง
หลักการเกิดลมมีมาตราฐานเดียว คือ การแทนที่ของอากาศ เมื่ออากาศร้อนลอยตัวขึ้นด้านบน จึงมีการแทนที่ของอากาศด้านล่าง ซึ่งการไหลเวียนแทนที่ของอากาศนี้ก็คือลม ส่วนจะเป็นลมเย็นหรือลมร้อนก็จะขึ้นอยู่กับลักษณะที่มาของลมหรืออากาศนั้นด้วยว่ามาจากไหน พัดผ่านอะไรมาบ้าง “เราจึงเห็นได้ว่าการไหลของอากาศ ไป-มา ก็คือลมนั่นเอง” กลับกันเมื่ออากาศเย็นลดตัวต่ำลงจึงมีอากาศเข้ามาแทนที่ด้านบน จะยกตัวอย่างลม2ประเภทให้ท่านได้เข้าใจ ดังนี้
1.ลมบกลมทะเล หากท่านเคยไปเที่ยวทะเล ในช่วงกลางวันท่านจะรู้สึกว่าทำไมบริเวณชายหาดถึงมีลมแรง นั่นก็เป็นเพราะในเวลากลางวันนั้นผื่นแผ่นดินที่ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์มีความร้อนสะสม อากาศบนผื่นแผ่นดินที่นร้อนจึงลอยตัวสูงขึ้น ในขณะเดียวกันอากาศบนผื่นน้ำในทะเลที่มีความเย็นกว่าจึงเข้าแทนที่อากาศร้อนบนแผ่นดินที่ลอยตัวสูงขึ้น นั่นก็คือ “ลมทะเล” นั่นเอง ซึ่งลมที่พัดจากทะเลจะเย็นสบายและชื้น เพราะลมได้พัดเอาไอน้ำมาด้วย แต่จะทำให้เรารู้สึกเหนียวตัวกว่าลมทั่วไปเพราะไอน้ำนั้นเป็นน้ำเค็ม กลับกัน เมื่อถึงช่วงเวลากลางคืน ผื่นแผ่นดินมีการคลายความร้อนได้เร็วกว่าผื่นน้ำในทะเล จึงทำให้อากาศร้อนในทะเลลอยตัวสูงขึ้น อากาศที่เย็นกว่าจากผื่นแผ่นดินจึงเข้ามาแทนที่ เราจึงเรียกลมนี้ว่า “ลมบก”
2.ลมหุบเขาและลมภูเขา ในช่วงเวลากลางวันบริเวณยอดเขาที่อยู่ใกล้กับพระอาทิตย์มากกว่าจะมีความร้อนสะสมมากกว่าบริเวณเชิงเขา อากาศร้อนจึงลอยตัวสูงขึ้นและอากาศที่เย็นกว่าจากเชิงเขาจึงเข้ามาแทนที่ เราเรียกลมที่พัดขึ้นสู่ยอดเขานี้ว่า “ลมหุบเขา” กลับกันในช่วงเวลากลางคืนยอดเขาที่อยู่สูงกว่าจึงคายความร้อนได้ดีกว่าเชิงเขา เมื่ออากาศร้อนที่เชิงเขาลอยตัวสูงขึ้นอากาศเย็นจากยอดเขาจึงเข้ามาแทนที่ เราเรียกลมที่พัดลงมาจากยอดเขาชนิดนี้ว่า “ลมภูเขา” และเมื่ออากาศจากยอดเขาที่เย็นและชื้นมากๆ จะทำให้เกิดหมอกปกคลุมหุบเขาอีกด้วย
ทีนี้ท่านคงทราบถึงหลักการเกิดลมและการเข้าแทนที่ของอากาศร้อนที่ลอยตัวสูงขึ้นกันแล้ว
ทีนี้เราจะนำหลักการดังกล่าวมาใช้ในการออกแบบรีโนเวทบ้านให้เย็นสบายได้อย่างไร
เราจะกล่าวใน ตอนที่2 คลิก
บ้านเย็นอยู่สบายซึ่งหากท่านต้องการที่จะรีโนเวทบ้านทั้งทีต้องให้บ้านเย็นอยู่สบายด้วยการออกแบบจึงมีความสำคัญที่ Interior Designer ต้องใส่ใจ โดยท่านสามารถส่งความต้องการและให้ทีมงานเราติดต่อกลับไปได้และงานรีโนเวทที่ไม่ไช่แค่สวยเพียงอย่างเดียวแต่การใช้งานและความสบายจะควบคู่ไปด้วยอย่างแน่นอน
ดูบทความดีๆในการออกแบบออฟฟิศได้ที่นี่ คลิก
“เราเป็นมากกว่าบริษัทรับสร้างบ้าน เพราะนอกจากเสนองานออกแบบและก่อสร้างบ้านให้แก่ท่านแล้ว เรายังให้ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบก่อสร้างด้วย เพราะความรู้ที่ถูกต้องจะช่วยให้ท่านรู้ลึก รู้จริง และรู้ทันช่างและได้รับแต่สิ่งที่ดีนั่นเอง” บริษัทเรารับออกแบบตกแต่งภายในร้านอาหารทุกประเภทด้วยมัณฑนากรมืออาชีพและทีมช่างคุณภาพประสบการณ์มากกว่า20ปี โดยท่านสามารถส่งความต้องการมาหาเราได้ตามช่องทางข้างล่างนี้
สนใจติดต่อ งานออกแบบตกแต่งภายในและรีโนเวทอาคาร