Site icon รับรีโนเวทบ้าน อาคารพาณิชย์ ออกแบบร้านอาหาร กาแฟ ร้านค้าทุกประเภท

แนวทางการออกแบบคลินิก

แนวทางการออกแบบคลินิก

แนวทางการออกแบบคลินิก | ออกแบบอย่างไรให้ดูโปร เพื่อยกระดับแบรนด์

แนวทางการออกแบบคลินิก ⚠️ ในยุคที่ภาพลักษณ์กลายเป็นปัจจัยสำคัญของความน่าเชื่อถือ “คลินิก” ไม่ใช่แค่สถานที่รักษาโรคหรือเสริมความงามอีกต่อไป แต่คือจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ที่ผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการจดจำ การออกแบบคลินิกจึงไม่ใช่แค่การวางเฟอร์นิเจอร์ให้สวย แต่เกี่ยวข้องกับ “ความรู้สึก ความเชื่อมั่น และการตัดสินใจกลับมาใช้บริการซ้ำ” บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับแนวทางการออกแบบคลินิกในมุมมองของมืออาชีพ ตั้งแต่ฟังก์ชันพื้นที่ไปจนถึงอารมณ์ของผู้เข้าใช้บริการ เพื่อให้คลินิกของคุณไม่ใช่แค่ดูดี แต่สร้างรายได้ระยะยาวได้จริงครับ

.

.

📖 รูปแบบคลินิกยอดนิยมในปัจจุบัน และความแตกต่างในการออกแบบ

🟨 คลินิกเสริมความงาม งานดีไซน์ที่ขายความรู้สึกพรีเมียม

คลินิกเสริมความงามในปัจจุบันมักเน้น “ประสบการณ์ที่น่าจดจำได้” มากกว่าแค่บริการทางการแพทย์ เพราะลูกค้าตัดสินใจเข้ามาใช้บริการด้วยความรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง และต้องการความมั่นใจในสถานที่ที่ดูดี ทันสมัย และพรีเมียมตั้งแต่ก้าวแรก บรรยากาศจึงต้อง หรูหราแต่ไม่เย็นชา มีการใช้สีโทนขาว ทอง ครีม ชมพู หรือ Pastel สลับกับเฟอร์นิเจอร์เรียบหรู เพิ่มมิติด้วยแสง Warm Light ที่ทำให้หน้าคนดูเปล่งปลั่งในกระจก โดยเฉพาะมุมถ่ายรูปและเคาน์เตอร์ต้อนรับ ต้องออกแบบมาให้ “Instagramable” ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการตลาดทางอ้อมอย่างได้ผล

นอกจากนี้การจัดแปลนยังต้องคำนึงถึงพื้นที่รองรับการพักฟื้นเบาๆ และความเป็นส่วนตัวที่สูง ห้องหัตถการควรอยู่ลึก ห่างจากสายตาผู้มาติดต่อ ส่วนโซนพักคอยอาจมีพื้นที่ให้ลูกค้าเลือกนั่งแบบกลุ่มหรือเดี่ยว เพื่อสะท้อนความใส่ใจในความรู้สึกของผู้ใช้บริการ

.

🟨 คลินิกทันตกรรม ความสะอาดเป็นพระเอก ความไว้วางใจคือหัวใจ

คลินิกทันตกรรมเน้นภาพลักษณ์ “น่าเชื่อถือ” และ “ปลอดภัย” เป็นหลัก การออกแบบจึงให้ความสำคัญกับวัสดุที่ดูสะอาด เช่น พื้น PU, กระเบื้องโทนขาว-เทา, กระจกใส พร้อมเส้นสายที่เรียบง่าย การจัดแปลนต้องมีพื้นที่พอเพียงสำหรับเก้าอี้ทันตกรรม, อุปกรณ์ปลอดเชื้อ, การสัญจรของผู้ช่วย และระบบดูแลความสะอาดภายในห้องทำฟัน โดยต้องเว้นระยะห่างระหว่างเครื่องมือและผนังตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด

ที่สำคัญ คลินิกทันตกรรมมักต้องสร้างความรู้สึก “ไม่กลัว” ให้กับลูกค้าโดยเฉพาะเด็ก จึงอาจมีการแทรกสีสันแบบอ่อนโยน เช่น สีฟ้าอ่อน เขียวพาสเทล หรือเพิ่มลวดลายผนังเบาๆ เพื่อเบรกความรู้สึกทางการแพทย์ที่จริงจังเกินไป ขณะเดียวกันควรคงความเป็นมืออาชีพผ่านระบบแสงสว่างและทางเดินที่ชัดเจน

.

🟨 คลินิกเวชกรรมทั่วไป ครบถ้วน เป็นมิตร และเข้าถึงง่าย

คลินิกเวชกรรมมักดูแลอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น การออกแบบจึงเน้นเรื่อง “การสื่อสาร” ให้ผู้เข้ารับบริการเข้าใจง่ายว่าแต่ละโซนคืออะไร เช่น ห้องตรวจ, ห้องรับยา, ห้องฉีดยา, ห้องพยาบาล ต้องอยู่เป็นระบบ ไม่ซับซ้อน และมีพื้นที่รอที่รองรับจำนวนคนมากกว่าคลินิกเฉพาะทางอื่นๆ วัสดุที่ใช้ต้องคงทน ทำความสะอาดง่าย เช่น กระเบื้องยาง ไม้ลามิเนต หลอดไฟ LED Daylight ที่ให้ความรู้สึกสว่าง โปร่ง โล่ง และเป็นมิตร

โซนต้อนรับควรออกแบบให้อยู่ใกล้ประตูทางเข้า มีจุดแจ้งข้อมูลหรือคิวที่เข้าใจง่าย การแยกโซนผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยเฉพาะทางก็เป็นแนวโน้มที่หลายคลินิกเริ่มใช้ เพื่อป้องกันความแออัดและเพิ่มความปลอดภัยในสถานที่

.

✅ แนวทางการดีไซน์ที่ตอบโจทย์เฉพาะทาง

ไม่ว่าคลินิกประเภทใด การออกแบบที่ดีควรเริ่มจากการ วางแผนร่วมกับแพทย์และทีมผู้บริหาร เพื่อให้เข้าใจเป้าหมายทางธุรกิจและกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ถัดมาคือการเลือกวัสดุ ระบบแสง และแปลนพื้นที่ที่ตอบโจทย์งานแพทย์และประสบการณ์ของลูกค้า การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ Built-in เฉพาะพื้นที่สามารถช่วยประหยัดพื้นที่ ใช้งานได้จริง และให้ภาพลักษณ์มืออาชีพ ส่วนเรื่องแบรนด์ดิ้งภายในร้าน (Branding Interior) ก็ต้องออกแบบให้สอดคล้องกับ CI ของคลินิก ไม่ว่าจะเป็นโลโก้ โทนสี หรือภาพถ่ายที่ใช้ตกแต่ง

.

.

ความปลอดภัยของคนไข้ เป็นความวางใจที่จะได้รับในระยะยาว หากใส่ใจบรรยากาศและบริการ

.

แนวทางการออกแบบคลินิก | 🤔 แล้วแปลนคลินิกที่ดีควรเริ่มจากตรงไหน❓

✅ เริ่มต้นด้วยความเข้าใจใน “ประเภทของคลินิก” และกลุ่มเป้าหมาย

ก่อนจะหยิบกระดาษมาร่างแปลน ต้องตอบให้ได้ก่อนว่า คลินิกที่เราจะออกแบบคือประเภทไหน — เสริมความงาม, ทันตกรรม, เวชกรรม หรือเฉพาะทาง เช่น ผิวหนัง ศัลยกรรม ฯลฯ เพราะแต่ละแบบมี “flow การใช้งาน” ที่ต่างกันอย่างชัดเจน และต้องการฟังก์ชันเฉพาะ ทั้งจำนวนห้องตรวจ, ห้องพักฟื้น, ห้องหัตถการ, ห้องปลอดเชื้อ, และโซนต้อนรับ

ยกตัวอย่างเช่น คลินิกทันตกรรมมักต้องมีระบบปลอดเชื้อเข้มงวด, คลินิกเสริมความงามต้องเน้นความเป็นส่วนตัวและบรรยากาศสบายใจ ส่วนคลินิกเวชกรรมทั่วไปจะเน้นการสื่อสารที่เข้าใจง่ายและโครงสร้างไม่ซับซ้อน ดังนั้นการเริ่มต้นจึงไม่ใช่แค่การออกแบบสวย แต่คือ การออกแบบจากพฤติกรรมของผู้ใช้บริการจริง

.

✅ การแบ่งโซนพื้นที่แบบมืออาชีพ

แปลนคลินิกที่ดีควรแบ่งออกอย่างชัดเจนเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่

📌 โซนต้อนรับ / รอคิว เป็น First Impression ของคลินิก ต้องวางไว้หน้าสุด ใกล้ทางเข้า มีระบบคิวและป้ายแสดงข้อมูลที่เข้าใจง่าย และควรมีพื้นที่แยกการนั่งพักของลูกค้าให้มีความเป็นส่วนตัวบ้าง

📌 โซนบริการทางการแพทย์ ประกอบด้วยห้องตรวจ, ห้องหัตถการ, ห้องพักฟื้น, ห้องฉีดยา ฯลฯ ซึ่งต้องออกแบบให้สามารถ “เดินต่อกันได้เป็นเส้นทางเดียว” เพื่อลดการไขว้กันของคนไข้และพนักงาน

📌 โซนสนับสนุน เช่น ห้องเก็บยา, ห้องปลอดเชื้อ, ห้องเก็บเวชระเบียน, ห้องเตรียมอุปกรณ์ ฯลฯ ต้องแยกออกจากสายตาลูกค้า แต่ยังสามารถเข้าถึงได้สะดวก

📌 โซนเฉพาะกิจ / แอดมิน เช่น ห้องผู้บริหาร, ห้องประชุม, ห้องบัญชี หรือห้องสำหรับพนักงานพักกลางวัน ซึ่งต้องวางอยู่ท้ายสุดหรือด้านในสุดของแปลน

เส้นทางการไหล (Flow) ควรแยกคนไข้ พนักงาน และเวชภัณฑ์ออกจากกันอย่างชัดเจนนะครับ เพื่อความปลอดภัย และลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้

.

✅ ตรวจสอบข้อกำหนดจาก พ.ร.บ. และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

หลายคนมองข้ามจุดสำคัญตรงนี้ แต่สำหรับมืออาชีพแล้ว การออกแบบแปลนที่ดี ต้องเริ่มจากการศึกษากฎหมายก่อนวางเส้นแรกบนกระดาษ โดยเฉพาะเพราะเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย โดยต้องศึกษาดังนี้

👉 พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม → ระบุชัดเรื่องพื้นที่ขั้นต่ำต่อประเภทห้อง, จำนวนห้องต่อขนาดคลินิก, และมาตรฐานความปลอดภัย

👉 ข้อกำหนดกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) → เช่น ห้องตรวจอย่างน้อยต้องมีขนาด 9 ตร.ม., ต้องมีระบบระบายอากาศ, ห้องหัตถการต้องแยกชัดเจน และวัสดุต้องสามารถฆ่าเชื้อได้

👉 กฎหมายอาคาร / ผังเมือง → พื้นที่ใช้สอยต้องได้รับอนุญาตประเภท “อาคารพาณิชย์” หรือ “อาคารประกอบกิจการบริการ” และบางเขตเมืองต้องมีที่จอดรถรองรับตามสัดส่วน

⚠️ อย่าลืม!! การวางแปลนโดยไม่ตรวจสอบข้อกำหนดทางกฎหมาย อาจทำให้โครงการไม่ผ่านอนุมัติ หรือถูกปรับ/สั่งปิดในภายหลังได้นะครับ

.

🟨 ความสำคัญของการใช้ระบบแปลนแบบ Modular และมี Flexibility

การออกแบบแปลนคลินิกที่ดีในยุคนี้ไม่ใช่แค่ตอบโจทย์วันนี้ แต่ต้อง ยืดหยุ่นเพื่อรองรับการขยายในอนาคตนะครับ เช่น เผื่อจุดต่อเติมเป็นห้องเพิ่ม, การเดินระบบไฟฟ้าและแอร์ที่แยกเป็นโซน, ระบบท่อที่ไม่ตัดเส้นทางกัน ฯลฯ รวมถึงการใช้เฟอร์นิเจอร์ Built-in ที่สั่งออกแบบเฉพาะจุด เพื่อประหยัดพื้นที่และใช้งานได้จริงๆ

📌 Modular & Flexibility คืออะไร?

☑️ Modular คือการออกแบบที่แบ่งพื้นที่หรือองค์ประกอบต่างๆ ออกเป็น “หน่วยย่อย” ที่สามารถประกอบ-ถอดเปลี่ยนได้ง่าย เช่น การวางแปลนห้องที่แบ่งเป็นโมดูลแยกกัน หรือใช้เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถเคลื่อนย้ายและจัดใหม่ได้

☑️ Flexibility คือความยืดหยุ่นของพื้นที่ ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันใช้งานได้ตามความจำเป็นในอนาคต เช่น พื้นที่ที่วันนี้เป็นห้องตรวจ อนาคตสามารถปรับเป็นห้องหัตถการได้โดยไม่ต้องรื้อผังทั้งหมด

✅ สรุป สองสิ่งนี้ช่วยให้ คลินิกขยายต่อในอนาคตได้ง่าย ไม่เสียงบเปล่า และไม่ต้องรีโนเวทใหม่ทั้งหมด หากมีการเพิ่มทีมแพทย์, เครื่องมือ หรือบริการใหม่ๆ ในอนาคต

.

.

.

ออกแบบอย่างไรให้ผู้ใช้บริการรู้สึกมั่นใจตั้งแต่ก้าวแรก❓

เทคนิคการสร้าง First Impression ด้วยแสง สี พื้นผิว และกลิ่น (Sensory Branding) ที่เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับคลินิก

✅ First Impression ที่ดี เริ่มตั้งแต่ “หน้าประตู” ในการออกแบบคลินิก การสร้างความรู้สึก “ไว้วางใจ” ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผู้ใช้บริการก้าวเข้ามา ถือเป็นจุดเริ่มต้นของประสบการณ์ที่ดี การออกแบบจึงไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่คือการสื่อสารคุณภาพ ความเป็นมืออาชีพ และความใส่ใจในทุกสัมผัสของผู้มาเยือน ผ่าน แนวคิด Sensory Branding หรือการดึงประสาทสัมผัสทั้ง 5 มาเป็นเครื่องมือสร้างความรู้สึกที่ยากจะลืม

.

✅ แสงที่ดี ช่วยสื่อสาร “ความใส่ใจและความปลอดภัย” แสงสว่างเป็นองค์ประกอบที่มีผลต่อ “ความรู้สึก” อย่างมาก การเลือกใช้แสงธรรมชาติร่วมกับไฟ Warm White ให้ความรู้สึกอบอุ่น สะอาด และสบายตา ในขณะที่บางบริเวณ เช่น ห้องหัตถการ อาจใช้แสง Daylight เพื่อเพิ่มความคมชัดและความเชื่อมั่นด้านสุขอนามัย

การจัดแสงสว่างบริเวณล็อบบี้ควรออกแบบให้สว่างแต่ไม่แสบตา ไม่มีเงาทึบที่ทำให้รู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะบริเวณทางเข้าและเคาน์เตอร์ต้อนรับ ต้องสว่างเพียงพอเพื่อสะท้อนความโปร่งโล่งและเป็นมิตร

.

สีที่เลือก ช่วย “สร้างอารมณ์” สีมีผลทางจิตวิทยาโดยตรงต่อการรับรู้ เช่น สีฟ้าอ่อน สีขาว และสีเขียวหม่น มักสร้างความรู้สึกสงบ ผ่อนคลาย เหมาะกับคลินิกเสริมความงามหรือทันตกรรม ในขณะที่สีชมพูพาสเทลหรือโทนเบจ-ไม้ธรรมชาติ ช่วยเสริมบรรยากาศอบอุ่น เป็นกันเอง ทำให้รู้สึก “เข้าใกล้” ได้ง่ายขึ้น การใช้สีอย่างมีจังหวะ เช่น สีนำทาง (Wayfinding Color) บนผนังหรือเส้นพื้น ยังช่วยให้ผู้ใช้บริการรู้สึกไม่หลงทิศ และไว้วางใจในการใช้พื้นที่ภายในคลินิก

.

✅ พื้นผิว (Texture) ที่สัมผัสแล้วมั่นใจ พื้นผิววัสดุ เช่น เคาน์เตอร์หินแกรนิต, กระเบื้องแผ่นใหญ่, พื้นไวนิลกันลื่น หรือผนังลามิเนตที่ดูสะอาด เรียบเนียน เป็นองค์ประกอบที่แม้จะมองไม่เห็นในทันที แต่ “มือ” และ “เท้า” จะสัมผัสได้ทันทีเมื่อเดินเข้ามา วัสดุที่ดีบอกถึงมาตรฐานของเจ้าของคลินิกและความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด

.

✅ กลิ่น สื่อสารความใส่ใจผ่านลมหายใจแรก กลิ่นหอมอ่อนๆ แบบอโรม่าจากเครื่องพ่นกลิ่น หรือกลิ่นสะอาดสดชื่นที่ไม่ฉุนจนเกินไป ช่วยสร้าง First Impression ได้ในทันที ผู้ใช้บริการจะรู้สึกว่า “ที่นี่สะอาด ปลอดภัย และดูแลดี” โดยไม่ต้องเห็นอะไรเลย กลิ่นที่ดีไม่ควรกลบกลิ่นยาฆ่าเชื้อจนหมด แต่ควรผสมให้กลมกล่อม เพื่อสื่อสารความเป็นมืออาชีพและความสมดุลของภาพลักษณ์ทางการแพทย์

.

.

.

ข้อกำหนดด้านกฎหมายเรื่องสุขอนามัยและระยะปลอดภัยในคลินิก⚖️

📜 กฎหมายไม่ใช่แค่ข้อบังคับ แต่คือรากฐานของความปลอดภัย

ในการออกแบบและตกแต่งคลินิก ไม่ว่าจะเป็นคลินิกเสริมความงาม ทันตกรรม หรือเวชกรรม การปฏิบัติตาม ข้อกำหนดด้านกฎหมาย ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำให้ผ่านการอนุญาตเท่านั้น แต่ยังเป็นการ “แสดงความรับผิดชอบต่อชีวิตของผู้ใช้บริการและบุคลากรทางการแพทย์” โดยตรง ซึ่งถ้าหากละเลยแม้เพียงเล็กน้อย อาจกระทบถึงการถูกเพิกถอนใบอนุญาต หรือแม้แต่ถูกสั่งปิดกิจการได้ทันที

.

📜 ระยะปลอดภัยและโซนพื้นที่ต้องชัดเจนตาม พ.ร.บ. สถานพยาบาล

ตาม พระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง มีข้อกำหนดชัดเจนเกี่ยวกับ “ขนาดและการใช้พื้นที่ในคลินิก” เช่น พื้นที่รวมของคลินิกต้องไม่ต่ำกว่า 45 ตารางเมตร สำหรับคลินิกเดี่ยว และมากกว่านั้นในกรณีคลินิกเฉพาะทางหลายประเภท และต้องมี ห้องตรวจ (ห้องหัตถการ) แยกจากโซนต้อนรับ และเป็นพื้นที่ปิดมิดชิดเพื่อความเป็นส่วนตัว ในส่วนของ “ห้องน้ำ” ก็ต้องแยกจากพื้นที่หัตถการ และมีการระบายอากาศที่ดี ห่างจากบริเวณที่มีการใช้เครื่องมือแพทย์ รวมถึงทางเดิน ต้องกว้างไม่ต่ำกว่า 90 ซม. และไม่มีสิ่งกีดขวาง เพื่อรองรับการเข้าถึงของผู้พิการหรือผู้ใช้รถเข็น

.

📜 สุขอนามัยของคลินิก ต้องสื่อถึงความปลอดภัยในทุกตารางนิ้ว

องค์ประกอบด้านสุขอนามัยที่กำหนดไว้ในกฎหมายมุ่งเน้นให้คลินิกปลอดเชื้อ มีระบบควบคุมความสะอาด และไม่ปนเปื้อนระหว่างพื้นที่ใช้งาน เช่น ระบบระบายอากาศ (Ventilation) ต้องถ่ายเทดี โดยเฉพาะบริเวณห้องตรวจ ห้องทำหัตถการ และห้องพักของแพทย์ ในส่วนของพื้นและผนังก็ต้อง ทำความสะอาดง่าย ไม่ดูดซับของเหลว และมีคุณสมบัติป้องกันเชื้อรา และต้องมี ระบบจัดการของเสียติดเชื้อ ที่แยกชัดเจนจากขยะทั่วไป และต้องมีการส่งต่อให้บริษัทที่รับกำจัดอย่างถูกกฎหมาย รวมถึงควรมีอ่างล้างมือและจุดล้างมือที่มองเห็นได้ชัดในทุกโซนที่เกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการทางการแพทย์

.

📜 ความปลอดภัยจากเหตุไม่คาดฝัน ต้องป้องกันไว้ล่วงหน้า

คลินิกต้องออกแบบเพื่อรองรับความเสี่ยง เช่น อัคคีภัยหรือการลื่นล้ม โดยมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน เช่น ถังดับเพลิง และอุปกรณ์ป้องกันไฟ ต้องติดตั้งตามจุดที่กำหนด และมีการตรวจสอบทุกปี พื้นทางเดินก็ต้องไม่ลื่น โดยควรใช้วัสดุ Non-slip และมีป้ายเตือนชัดเจน และต้องมีทางออกฉุกเฉินอย่างน้อย 1 จุด ที่สามารถเข้าถึงได้รวดเร็ว ไม่ถูกล็อก

.

📜 เอกสารที่ต้องขออนุญาตก่อนออกแบบและก่อสร้าง

ก่อนการก่อสร้างหรือตกแต่งคลินิก ต้องดำเนินการขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลงอาคาร หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร (ขอที่สำนักงานเขต/อบต.) หรือขออนุญาตเปิดสถานพยาบาล (กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข) และเอกสารแสดงแปลนและผังภายในทั้งหมด พร้อมรับรองโดยสถาปนิก/วิศวกร และแนบแบบแปลนสุขาภิบาลและไฟฟ้า รวมถึงต้องมีใบรับรองมาตรฐานไฟฟ้า และสุขาภิบาล จากวิศวกรที่มีใบอนุญาต

.

.

ความแตกต่างระหว่างคลินิกในห้าง VS คลินิกบนตึกแถว และผลต่อการออกแบบ

🟨 ความต่างของ “ทำเล” = ความต่างของ “ฟังก์ชันการออกแบบ”

การเลือกสถานที่เปิดคลินิกเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ส่งผลต่อการออกแบบ เพราะ “ข้อจำกัดทางกายภาพ” และ “บริบทแวดล้อม” ระหว่างคลินิกในห้างและคลินิกบนตึกแถวมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนำไปสู่การวางผัง การออกแบบภายใน และประสบการณ์ของผู้ใช้ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

.

🟨 คลินิกในห้างสรรพสินค้า – เน้นความกระชับ ทันสมัย และเข้าถึงง่าย

ข้อได้เปรียบ :

☑️ ทำเลมี Traffic สูง เข้าถึงกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อดี

☑️ มาพร้อมระบบสาธารณูปโภคครบ เช่น ที่จอดรถ, ลิฟต์, ห้องน้ำ, ระบบดับเพลิง

☑️ เหมาะกับคลินิกประเภทเสริมความงามหรือทันตกรรม ที่ต้องการสร้าง “ภาพลักษณ์ระดับพรีเมียม”

.

ผลต่อการออกแบบ :

☑️ ต้องออกแบบภายในให้ “ดึงดูดในพื้นที่จำกัด” พื้นที่ภายในมักมีขนาด 40–80 ตร.ม. ต่อยูนิต

☑️ จำกัดเรื่องการต่อเติม (เช่นห้ามเปลี่ยน façade หรือโครงสร้างอาคาร)

☑️ ต้องออกแบบให้จบในพื้นที่ที่ไม่มีหน้าต่างธรรมชาติ แสงไฟและระบบระบายอากาศจึงต้องออกแบบอย่างมืออาชีพ

☑️ ต้องขออนุญาตแบบจากทั้งห้างและหน่วยงานรัฐ โดยมีแบบแปลนควบคู่กับมาตรฐานระบบไฟ–สุขาภิบาลของห้าง

.

🟨 คลินิกบนตึกแถว – เน้นความยืดหยุ่นและวางแปลนได้ละเอียด

ข้อได้เปรียบ :

☑️ มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า (โดยเฉพาะตึก 2–4 ชั้น) และปรับปรุงได้หลากหลาย

☑️ ควบคุม Design ได้มากกว่า เช่น ทำ Facade ดึงดูดได้เอง, จัดวางแสงธรรมชาติ

☑️ ต้นทุนรายเดือนถูกกว่าคลินิกในห้าง และเปิดบริการได้อิสระตามเวลาของตน

.

ผลต่อการออกแบบ :

☑️ สามารถแบ่งโซนการใช้งานแบบไหลลื่น (Flow) ตั้งแต่ชั้นล่างต้อนรับ – ชั้นบนห้องตรวจ – ชั้นบนสุดเป็นห้องพักแพทย์

☑️ มีโอกาสใช้ “แสงธรรมชาติ” จากหน้าต่างและช่องแสงเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

☑️ มีความยืดหยุ่นในการออกแบบระบบสุขาภิบาล ระบายอากาศ และการปรับโครงสร้างพื้น–ผนัง

☑️ ต้องระวังข้อกำหนดเกี่ยวกับ ระยะปลอดภัย และข้อจำกัดของ “พื้นที่สีลม/พาณิชย์” ตามข้อกำหนดของแต่ละเขตเทศบาล

.

🟨 สรุปเปรียบเทียบ

รายการคลินิกในห้างคลินิกตึกแถว
ขนาดพื้นที่จำกัดตามยูนิตปรับเปลี่ยนได้หลายชั้น
ภาพลักษณ์ทันสมัย หรูหราปรับแต่งได้หลากหลาย
การออกแบบต้องออกแบบให้ดึงดูดในพื้นที่จำกัดออกแบบวาง Flow ได้ยืดหยุ่น
ข้อกำหนดห้างควบคุมแบบ/เวลาทำการต้องขออนุญาตจากท้องถิ่น
ค่าใช้จ่ายรายเดือนสูงกว่ามากถูกกว่าแต่ต้องลงทุนปรับปรุง

.

.

ความประทับใจคือสิ่งที่ควรใส่ใจต่อคนไข้

.

แนวทางการออกแบบคลินิก | รูปแบบตัวอย่างคลินิกที่ออกแบบแล้วช่วยเพิ่มยอดขายได้จริง!!

🧩 Case Study จากคลินิกเก่าที่เงียบเหงา สู่ยอดจองล้นมือ

คลินิกแห่งหนึ่งในย่านชานเมืองกรุงเทพฯ เคยประสบปัญหาเดิมๆ ซ้ำซาก คนเดินผ่านเยอะแต่ไม่สนใจ ยอดจองซบเซา ทั้งที่โปรโมชั่นและราคาก็ถือว่าไม่แพงกว่าคู่แข่ง ด้วยความตั้งใจของเจ้าของกิจการจึงได้ตัดสินใจรีแบรนด์และรีโนเวทใหม่ทั้งหมด โดยจ้างบริษัทออกแบบคลินิกที่มีความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภค และรู้จักใช้ “การออกแบบเพื่อการตลาด” เป็นหัวใจหลัก

ผลลัพธ์ที่ได้คือหน้าร้านที่สะดุดตาด้วยโทนสีอบอุ่น เส้นสายที่ดูสะอาดมืออาชีพ แต่ไม่เย็นชาจนเกินไป จุดเช็กอินถูกวางให้เป็นส่วนหนึ่งของการตลาดออนไลน์ ห้องตรวจและห้องรอมีการเพิ่มกลิ่นหอมอ่อนๆ เฉพาะแบรนด์ (Scent Branding) รวมถึงการจัดแสงเพื่อเสริมความมั่นใจในตัวเองของผู้ใช้บริการ ทุกอย่างถูกคิดมาเพื่อกระตุ้น “ความรู้สึกอยากเข้ารับบริการ” และ “อยากบอกต่อ”

หลังการรีโนเวทเพียง 3 เดือน ยอดจองโตขึ้นกว่า 240% โดยไม่ต้องลดราคาใดๆ เพิ่มเติม สิ่งที่น่าสนใจคือ 60% ของลูกค้ากลุ่มใหม่มาจากการบอกต่อบนโลกออนไลน์และรีวิวแบบปากต่อปาก ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการ “ลงทุนในประสบการณ์” มากกว่าการลดต้นทุน

.

🧩 คลินิกเสริมความงามที่ยกระดับภาพลักษณ์ด้วยความเรียบง่าย

อีกหนึ่งกรณีคือคลินิกเสริมความงามที่เปิดตัวใหม่ในย่านเมืองท่องเที่ยว แม้ทำเลจะดีแต่ต้องแข่งขันกับคลินิกที่มีชื่อเสียงและทุนสูงกว่า ทีมออกแบบเลือกใช้กลยุทธ์ “Less is More” โดยคุมโทนร้านให้เป็นแนวมินิมอลสะอาดตา ใช้แสงธรรมชาติเป็นจุดเด่น พร้อมเพิ่มลูกเล่นด้วยผนังโค้ง พื้นผิวแบบด้าน และโลโก้ที่เน้นการจดจำ

ทีมออกแบบยังได้รวมกระบวนการทำงานร่วมกับทีมการตลาดออนไลน์ เพื่อเชื่อมโยงภาพลักษณ์หน้าร้านเข้ากับภาพในโซเชียลมีเดีย เช่น การจัดองค์ประกอบภาพในมุมที่ลูกค้าชอบถ่ายรูป หรือพื้นที่เล็กๆ ที่ใช้สำหรับ Live หรือถ่ายคลิปรีวิว ซึ่งสามารถสร้าง Content ได้ต่อเนื่อง

ผลลัพธ์ ร้านถูกบอกต่อบน TikTok และ Instagram ทำให้มีลูกค้าจองล่วงหน้าเกือบเต็มเดือนตั้งแต่เดือนที่ 2

.

.

งบเท่าไหร่ถึงจะออกแบบคลินิกได้ดี❓ แพงไหม❓ มีทางเลือกมั้ย❓

🟨 การออกแบบคลินิกไม่ใช่แค่ค่า “ความสวย” แต่คือการลงทุนระยะยาว

หลายคนคิดว่าค่าออกแบบคลินิกเป็น “ค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย” โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ แต่ความจริงแล้ว งานออกแบบคือหนึ่งในต้นทุนที่สามารถเปลี่ยน “ภาพลักษณ์” เป็น “มูลค่า” และส่งผลต่อความรู้สึกเชื่อมั่นของลูกค้าตั้งแต่ก้าวแรก หากออกแบบดีตั้งแต่ต้น ก็ช่วยลดต้นทุนในการแก้ไขซ้ำ และยังส่งผลต่อยอดขาย การรีวิว และโอกาสการขยายสาขาในอนาคต

.

🟨 แนวทางประมาณงบ ขึ้นอยู่กับขนาด, ความซับซ้อน และรูปแบบงาน

โดยทั่วไป ค่าออกแบบคลินิกจะคิดตามขนาดพื้นที่เป็นหลักครับ เช่น ขนาดเล็ก 30–50 ตร.ม. งบประมาณออกแบบเริ่มต้นประมาณ 35,000–80,000 บาทส่วน ขนาดกลาง 60–100 ตร.ม. อยู่ที่ 80,000–150,000 บาท หรือ ขนาดใหญ่กว่า 100 ตร.ม. หรือมีระบบพิเศษ เช่น ห้องปลอดเชื้อ, ห้องศัลยกรรม ฯลฯ อาจอยู่ที่ 150,000–300,000+ บาท เป็นต้น

แต่ทั้งนี้ยังต้องพิจารณาว่ารวมอะไรบ้าง เช่น งานสถาปัตย์ (พื้น ผนัง ฝ้า) ,งานตกแต่งภายใน (เฟอร์นิเจอร์ บิลต์อิน) ,งานระบบ (ไฟฟ้า แอร์ สุขาภิบาล) ,งานจัดแสง + Mood & Tone ,3D ภาพเสมือนจริง ,เขียนแบบยื่นขออนุญาต ฯลฯ

.

.

🟨 เปรียบเทียบรูปแบบการจ้าง: บริษัทออกแบบ, ฟรีแลนซ์, หรือทำเอง?

รูปแบบการจ้างข้อดีข้อจำกัด
บริษัทออกแบบมืออาชีพ– ได้ทีมครบทุกด้าน (สถาปนิก, อินทีเรีย, ช่างเขียนแบบ, ผู้ยื่นอนุญาต) 
– ระบบงานชัดเจน วางแผนก่อสร้างล่วงหน้าได้ 
– มีประสบการณ์ออกแบบคลินิกโดยเฉพาะ
– ค่าออกแบบสูงกว่าทางเลือกอื่น 
– ต้องมีเวลาให้ทีมวางแผนล่วงหน้า
ฟรีแลนซ์– ค่าใช้จ่ายถูกกว่า 
– เลือกตามสไตล์ที่ถูกใจได้
– ขาดทีมระบบครบวงจร 
– เสี่ยงเรื่องดีไซน์ไม่ตอบโจทย์คลินิกจริง 
– ไม่สามารถยื่นแบบขออนุญาตได้ในบางกรณี
ออกแบบเอง/หาช่างตกแต่งเอง– ประหยัดต้นทุนมากที่สุด 
– เหมาะกับผู้ที่มีประสบการณ์ในวงการ
– ความเสี่ยงสูงเรื่องความสวย/ฟังก์ชันไม่ตอบโจทย์ 
– อาจผิดกฎหมาย/ไม่ผ่าน พ.ร.บ. สถานพยาบาล 
– ไม่มีแบบเผื่อขยายกิจการในอนาคต

.

.

การออกแบบคลินิกไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงามหรือสไตล์เท่านั้น แต่เป็นการสร้างระบบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้บริการ บุคลากร และเจ้าของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกแบบที่เหมาะกับประเภทคลินิก, การวางแปลนที่ถูกต้องตามกฎหมาย, การสร้าง First Impression ด้วย Sensory Branding หรือแม้แต่การจัดงบประมาณอย่างมืออาชีพ ทุกองค์ประกอบล้วนส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือ การรักษาภาพลักษณ์ และการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว หากออกแบบถูกทิศถูกทางตั้งแต่ต้น จะสามารถสร้างความได้เปรียบทั้งในด้านการตลาดและการบริหารอย่างยั่งยืน

.

.

แนวทางการออกแบบคลินิก ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของคลินิกที่กำลังเริ่มต้น หรือคลินิกเดิมที่ต้องการรีโนเวทเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า การออกแบบโดยทีมงานมืออาชีพคือจุดเริ่มต้นสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะ “ความเชื่อมั่น” เริ่มต้นตั้งแต่ประตูทางเข้า หากคุณต้องการผู้ช่วยที่เข้าใจทั้งธุรกิจและกฎหมาย รู้ลึกทั้งฟังก์ชันและความรู้สึกของผู้ใช้งาน Thaimawee พร้อมอยู่เคียงข้างคุณในทุกขั้นตอนการออกแบบคลินิก ให้กลายเป็นคลินิกในฝันที่สร้างยอดขายและความเชื่อมั่นได้จริง

>> ออกแบบคลินิกความงาม คลิก

“เราเป็นมากกว่าบริษัทออกแบบ เพราะนอกจากเสนองานออกแบบและตกแต่งแล้ว เรายังให้ความรู้ทางการตลาดควบคู่ไปด้วย เพราะมันคือสิ่งสำคัญสำหรับการเปิดร้านเพื่อธุรกิจ” บริษัทเรารับออกแบบตกแต่งภายในร้านอาหารทุกประเภทด้วยมัณฑนากรมืออาชีพและทีมช่างคุณภาพประสบการณ์มากกว่า20ปี โดยท่านสามารถส่งความต้องการมาหาเราได้ตามช่องทางข้างล่างนี้

สนใจติดต่อ งานออกแบบตกแต่งภายในและรีโนเวทอาคาร กลับสู่หน้าหลัก คลิก

.

#แนวทางการออกแบบคลินิก #ออกแบบคลินิก #ตกแต่งคลินิก #ออกแบบคลินิกเสริมความงาม #บริษัทออกแบบคลินิก #รีโนเวทคลินิก #ตกแต่งภายในคลินิก #ออกแบบคลินิกทันตกรรม #ออกแบบคลินิกความงาม #ตกแต่งคลินิกให้ดูดี #ThaimaweeDesign

Exit mobile version